Admin RDP Library RDPB
10 Nov 2025

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

“การที่ข้าพเจ้าเริ่มงานศิลปาชีพขึ้นนั้น ข้าพเจ้าตั้งใจจะสรรหาอาชีพให้ชาวนาที่ยากจนเลี้ยงตัวเองได้เป็นเบื้องต้น ทั้งนี้เนื่องจากข้าพเจ้าได้มีโอกาสตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปเยี่ยมราษฎรตามชนบทมาหลายสิบปี ได้พบว่าราษฎรส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่ที่ต้องทำงานหนัก และต้องเผชิญอุปสรรคจากภัยธรรมชาติมากมาย...ทำให้ชาวนาชาวไร่มักยากจน...แต่ข้าพเจ้าได้พบด้วยความยินดีว่าชาวนาชาวไร่เหล่านี้มีฝีมือทางหัตถกรรมสืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้ว โดยที่หัตถกรรมส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่เขาใช้สอยอยู่ในชีวิตประจำวัน...สิ่งนี้จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าเริ่มงานส่งเสริมการทอผ้าไหมขึ้น เพื่อให้ชาวนาชาวไร่นำความสามารถของเขาเองมายกระดับความเป็นอยู่ รวมทั้งเพิ่มพูนศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในงานของเขา จนในที่สุดจึงเกิดเป็นมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ” 

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

พระราชดำรัสดังกล่าวของ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2535 คงพอสะท้อนได้ดีถึงน้ำพระราชหฤทัยยิ่งใหญ่ที่ทรงห่วงใยในชีวิตความเป็นอยู่ของอาณาประชาราษฎร์ อีกทั้งยังทรงเล็งเห็นถึงศักยภาพของคนไทย

“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” รับสั่งถึงจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจยิ่งใหญ่ในการฟื้นฟูและพัฒนางานฝีมือพื้นบ้านของช่างฝีมือไทยทั่วทุกภูมิภาค เพื่อธำรงรักษางานหัตถศิลป์ไทยให้เป็นมรดกแห่งความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

“...ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปพบราษฎรทั่วประเทศ เพราะได้มีโอกาสตามเสด็จพระราชดำเนินทุกหนแห่ง จึงได้พบความจริงที่ว่า คนไทยเรานั้นแม้อยู่ห่างไกลความเจริญของเมืองหลวง ก็มีความสามารถทางด้านศิลปะเป็นอย่างสูง เช่น ผ้าไหมไทย ผ้าไทยต่างๆ ที่เห็นมีสีและลวดลายที่สวยงามนั้น เกิดมาจากความสามารถของชาวบ้านเองแท้ๆ ไม่ต้องให้ใครไปออกแบบลวดลายและสีสันให้ คนไทยเหล่านี้เองที่ข้าพเจ้าขอยกย่องว่า เป็นผู้สืบทอดศิลปะให้แก่ชาติบ้านเมืองของเขาจริง...” 

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

ระหว่างตามเสด็จพระราชดำเนิน “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เพื่อทรงงานและทรงเยี่ยมราษฎรในทุกภูมิภาค “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงตระหนักถึงฝีมือการทอผ้าไทยของชาวบ้านว่า เป็นผ้าที่งดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะ “ผ้าไหมไทย” ซึ่งไม่ใช่แค่การทำเครื่องนุ่งห่ม แต่เป็นการสร้างสรรค์ศิลปะตามแบบชาวบ้านที่ถักทอความรักมอบให้คนในครอบครัว ตามแบบอย่างประเพณีที่แม่ทอผ้าไหมให้ลูกชายลูกสาวยามมีงานสำคัญๆ พระองค์จึงทรงฟื้นฟูการทอผ้าไหมและผ้าพื้นบ้านของภาคต่างๆ อีกทั้งยังทรงเป็นต้นแบบในการใช้ผ้าไทยตัดเย็บฉลองพระองค์ และทรงฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยมในพระราชวโรกาสต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ 

การที่ทรงใช้ผ้าไทยตัดเย็บฉลองพระองค์ ไม่เพียงเผยให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ และสืบสานการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ ทว่า ยังสะท้อนถึงน้ำพระราชหฤทัยที่ทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชน ทรงส่งเสริมมาตลอดให้นำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาสร้างรายได้แก่ราษฎร เพื่อพึ่งพาตนเองได้ 

ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกลที่ทรงเห็นถึงศักยภาพของคนไทย และคุณประโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ ประกอบกับความงดงามของศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จึงทรงริเริ่มให้ฟื้นฟูและพัฒนางานฝีมือพื้นบ้านในแต่ละภูมิภาคขึ้น ภายใต้ชื่อ “ศิลปาชีพ” เพื่อช่วยเหลือราษฎรให้มีรายได้เสริมนอกเหนือจากอาชีพเกษตรกรรม ไม่เพียงช่วยให้พสกนิกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ยังเป็นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านทั่วทุกภูมิภาคไม่ให้สูญหาย ทั้งยังเป็นการเผยแพร่ฝีมือช่างของคนไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2519 “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้ง “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ” โดยทรงรับเป็นประธานมูลนิธิ และให้อยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ รวมทั้งพระราชทานทุนเริ่มแรกเป็นเงิน 1 ล้านบาท ต่อมารัฐบาลได้จัดตั้งกองศิลปาชีพในสำนักราชเลขาธิการ ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เพื่อหาอาชีพเสริมเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนที่ประสบปัญหาในการเพาะปลูก และว่างจากฤดูกาลเพาะปลูก ให้ได้มีงานทำอยู่กับบ้าน เพื่อให้ราษฎรไม่ต้องละทิ้งถิ่นฐานของตนไปทำงานในเมืองใหญ่ๆ อันก่อให้เกิดปัญหาชุมชนแออัดตามมา และสำหรับชาวไทยภูเขาที่เคยมีอาชีพปลูกฝิ่น ก็ทรงส่งเสริมให้หันไปประกอบงานฝีมือที่มีความชำนาญอยู่แล้ว เช่น การเย็บปักถักร้อย และการเป็นช่างเงินช่างทอง เป้าหมายสำคัญยิ่งอีกประการคือ การธำรงรักษาและฟื้นฟูหัตถกรรมแบบไทยโบราณ ซึ่งกำลังจะเสื่อมสูญ ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง 

จุดเริ่มต้นแห่งศิลปาชีพ...ศิลปะเพื่อชีวิตและธำรงมรดกไทย เกิดจากความสนพระราชหฤทัยของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่จะส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมของราษฎร ขณะตามเสด็จไปทรงเยี่ยมเยือนราษฎรตามหมู่บ้านต่างๆ โดยระหว่างประทับที่วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน เมื่อปี 2508 ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯไปทรงเยี่ยมราษฎร ที่หมู่บ้านเขาเต่า “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงชักชวนให้หญิงชาวบ้านหัดทอผ้าฝ้ายขาย โดยโปรดเกล้าฯให้จัดหาครูทอผ้าจากจังหวัดราชบุรีมาช่วยสอน ปรากฏว่ากิจการทอผ้าขาวม้าและผ้าซิ่นพื้นเมืองดำเนินไปด้วยดี ถือเป็นจุดเริ่มต้นแรกของพระราชกรณียกิจด้านการส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมแก่ราษฎร 

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

ต่อมาในปี 2513 เกิดอุทกภัยที่จังหวัดนครพนม ภายหลังน้ำลดแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยือนราษฎร และพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นการบรรเทาความเดือดร้อน มีราษฎรมารอรับเสด็จอย่างเนืองแน่นจากหลายๆอำเภอ ปรากฏว่าหญิงชาวบ้านแทบทุกคนนุ่งซิ่นไหมมัดหมี่ ซึ่งมีเอกลักษณ์สวยงาม สร้างความสนพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง 

ผ้าไหมมัดหมี่...ศิลปะบนผืนผ้าแดนอีสาน “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงสอบถามชาวบ้านจนได้ความว่า ชาวบ้านทอผ้าไหมมัดหมี่ไว้ใช้กันเองแทบทุกครัวเรือน ไม่ได้ทอขาย นอกจากทอให้ลูกหลานยามออกเรือน พระองค์จึงมีพระราชดำริว่า ชาวบ้านมีความรู้ความสามารถในการทอผ้าไหมมัดหมี่อยู่แล้ว หากจะส่งเสริมให้ทอเพิ่มขึ้นจากที่เคยทอไว้ใช้เอง ก็จะช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้เสริมและพึ่งพาตนเองได้ ทรงชักชวนให้ชาวบ้านทอผ้าไหมมัดหมี่ขาย โดยทรงรับซื้อไว้เองทั้งหมด และเพิ่มราคาให้สูงกว่าท้องตลาด เพื่อจูงใจชาวบ้านให้มีกำลังใจที่จะทอผ้าไหมต่อไป พร้อมพระราชทานคำติชมและข้อแนะนำต่างๆ จนผ้าไหมมัดหมี่ค่อยๆพัฒนาคุณภาพดีขึ้น กลายเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปมาจนถึงปัจจุบัน 

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

“ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ผ้าที่เขาใส่นี่สวยมาก ทอให้พระราชินีได้ไหม ชาวบ้านก็บอกว่า พระราชินีจะเอาไปทำอะไร เพราะว่าผ้าแบบนี้ที่คนเขาจะนุ่งห่ม ก็มีแต่คนยากจนเท่านั้น คนใช้ที่กรุงเทพฯนั่นแหละเขาใส่กัน พระราชินีจะใส่ไปทำไม ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่าทอให้พระราชินีจะใส่ตลอด เขาก็ได้ตกลง มีการเข้าชื่อกันว่าใครบ้างจะรับอาสาทอผ้าไหมมัดหมี่ถวายแบบที่เขาใส่กันลายแปลกๆ ข้าพเจ้าได้ให้เงินล่วงหน้าไว้กับคนที่จะทอผ้าให้ข้าพเจ้าทุกคน สังเกตเห็นว่าแววตาของเขาทั้งหลายมีความหวังว่าเขามีงานทำ”

พระราชดำรัสดังกล่าวของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆที่เข้าเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2547 สะท้อนได้ดีถึงสายพระเนตรอันยาวไกล

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

หลังจากนั้นโครงการส่งเสริมการทอผ้าไหมก็ได้ขยายออกไปตามหมู่บ้านต่างๆทั่วอีสาน และโปรดเกล้าฯให้ส่งเสริมการทอผ้าไหมพื้นเมืองทุกชนิด ทั้งผ้าไหมสีพื้นและผ้าไหมลายพื้นเมืองต่างๆ นอกเหนือจากผ้าไหมมัดหมี่ เช่น ผ้าไหมหางกระรอก, ผ้าไหมลายลูกแก้ว, ผ้าไหมแพรวา และผ้าไหมลายขิด ส่วนชาวบ้านที่ทอผ้าไม่เป็นก็โปรดเกล้าฯให้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม และทรงรับซื้อเส้นไหมทั้งหมด เพื่อส่งไปให้ช่างทอผ้าที่มิได้ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเอง 
นอกจากนี้ ยังทรงส่งเสริมศิลปะการผลิตผ้าแพรวาของชาวภูไท และการผลิตผ้าขิด หรือผ้ายกดอก จนได้รับการฟื้นฟูสู่ความนิยม การทอผ้าไหมได้กลายเป็นโครงการส่งเสริมอาชีพที่ทำรายได้ให้แก่ราษฎรอย่างกว้างขวางที่สุดของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยทรงตระหนักว่าศิลปะบนผืนผ้ากับวัฒนธรรมไทยที่เกี่ยวเนื่องกับการทอผ้า เป็นสิ่งล้ำค่าที่ต้องอนุรักษ์ไว้ จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้ง “พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” ณ หอรัษฎากรพิพัฒน์ พระบรมมหาราชวัง 

ผลิตภัณฑ์จากย่านลิเภา...ศิลปะที่ต้องใช้ความประณีตและอดทน ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปะเก่าแก่ของบรรพบุรุษไทยที่ทรงส่งเสริมและฟื้นฟูไปพร้อมๆกับศิลปหัตถกรรมแขนงต่างๆ เช่น การถมทอง, ถมเงิน, คร่ำ, การแกะสลัก, หนังตะลุง และตุ๊กตาชาววัง

“สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทอดพระเนตรเห็นย่านลิเภามีอยู่ทั่วไปในป่าจังหวัดนราธิวาส และด้วยทรงตระหนักว่าย่านลิเภาเป็นงานจักสานชั้นเยี่ยมที่เคยใช้กันอย่างแพร่หลายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ศิลปะการจักสานย่านลิเภากำลังสูญหายไป เนื่องจากต้องใช้ฝีมือที่มีความประณีตละเอียดอ่อนมาก เป็นงานที่ต้องใช้เวลาและความมานะพยายามสูง พระองค์จึงทรงส่งเสริมอาชีพการจักสานย่านลิเภาที่อำเภอยี่งอ, อำเภอระแงะ, อำเภอบาเจาะ และอำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส ก่อตั้งโรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา และศูนย์ศิลปาชีพทั่วประเทศ หลังจาก “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงริเริ่มพระราชกรณียกิจด้านการส่งเสริมศิลปาชีพมากว่า 10 ปี ทรงเห็นเป็นการสมควรที่จะจัดตั้ง “โรงฝึกศิลปาชีพสวนจิตรลดา” ภายในเขตพระราชฐานสวนจิตรลดา เพื่อเป็นศูนย์กลางการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพจากราษฎรทั่วประเทศ โดยสมาชิกรุ่นแรกคัดเลือกมาจากครอบครัวของข้าราชบริพารจำนวน 10 คน มาฝึกหัดการทอจกและจักสานไม้ไผ่ ต่อมาจำนวนสมาชิกได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนใหญ่มาจากจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ ภายในโรงฝึกศิลปาชีพเปิดสอนงานศิลปาชีพแขนงต่างๆหลายแผนก ภายหลังได้มีการจัดตั้งศูนย์ศิลปาชีพในภาคต่างๆทั่วประเทศด้วย 

 

“THE PEOPLE’S QUEEN” พระราชินีแห่งปวงชน ทรงพลิกฟื้นคุณค่าช่างฝีมือไทยสู่มรดกคู่แผ่นดิน

 

งานศิลปาชีพของลูกหลานชาวนาไทยสู่สายตาชาวโลก “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงเป็นผู้นำในการใช้ผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพอยู่เสมอ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่คนทั่วไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ได้เห็นคุณค่าและความงดงามของงานหัตถศิลป์ไทย เช่น ทรงฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บจากผ้าไหมแพรวา, ผ้าไหมมัดหมี่ และผ้าปักของชาวไทยภูเขา พร้อมกับทรงกระเป๋าถือจากย่านลิเภา และทรงใช้เครื่องเงินเครื่องทองฝีมือนักเรียนศิลปาชีพ นอกจากนี้ ยังมีพระราชดำริให้เผยแพร่งานศิลปาชีพแก่ชาวต่างประเทศ โดยพระราชทานผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพเป็นของขวัญแก่พระราชอาคันตุกะ และบุคคลที่เป็นชาวต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชื่นชมในศิลปะงานหัตถศิลป์ของไทย

“แม้ผ้าถูเรือนก็อย่าละเลย” ทรงกำชับคณะทำงานทุกครั้งที่เสด็จฯไปทรงเยี่ยมเยือนราษฎร เพราะอาจพบผ้าลายโบราณ ซึ่งจะสืบไปถึงช่างทอและเรื่องราวต่างๆได้ ผ้าไทย, ชุดไทยพระราชนิยม, การแต่งกายของไทย และงานหัตถศิลป์ไทย เป็นที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลก ก็ด้วยพระวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และพระราชวิริยะอุตสาหะในการทรงงานอย่างมิรู้จักเหน็ดเหนื่อยมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ เพื่อเชิดชูมรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้คงอยู่คู่แผ่นดิน.

..........................................

 

ข้อมูลโดย ไทยรัฐออนไลน์ 10 พ.ย. 2568 04:55 น.