Admin RDP Library RDPB
10 Nov 2025

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

ภายใต้พระสิริโฉมงดงามและสไตล์อันโดดเด่นที่ “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ทรงได้รับการยกย่องจากชาวโลกว่าเป็น “QUEEN OF STYLE” เบื้องหลังแล้วคือพระวิสัยทัศน์กว้างไกลในการใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตอันทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“ทุกครั้งก่อนที่จะออกเดินทางไปต่างประเทศ พระเจ้าอยู่หัวจะมีรับสั่งให้ทุกคนที่จะตามไปในขบวนเสด็จมาเฝ้า แล้วทรงเตือนว่า การไปครั้งนี้ของพวกเรา ทุกคนเปรียบเสมือนผู้แทนคนไทยทั้งชาติ ใครมีเรื่องราวทุกข์ร้อนหนักหนาอย่างไร ก็ให้หนักเอาเบาสู้ อย่านึกวาดภาพว่าจะได้ไปเที่ยวสนุกสนานจะได้ไม่ผิดหวัง”

พระราชนิพนธ์ดังกล่าวของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่ทรงถ่ายทอดความทรงจำในการตามเสด็จ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” ไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศ สะท้อนได้ดีถึงพระราชภารกิจอันหนักอึ้ง ในฐานะผู้แทนคนไทยทั้งชาติ

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

หลังการเสด็จขึ้นครองราชย์ของ “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 หนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” คือ การตามเสด็จไปทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับอารยประเทศ โดยเริ่มต้นจากการเสด็จเยือนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย และพม่า จากนั้นจึงเสด็จเยือนประเทศต่างๆในทวีปอเมริกา, ยุโรป, ออสเตรเลีย และเอเชีย

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

บันทึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญที่ทำให้ชื่อเสียงของ “พระสิริโฉมแห่งสยาม” ขจรขจายไปทั่วโลก ก็คือในคราที่ตามเสด็จไปเยือนสหรัฐอเมริกา และ 14 ประเทศในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อปี 2503 สื่อทั่วโลกต่างชื่นชมในพระราชจริยวัตรอันงดงามของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” รวมถึงนิตยสารโว้ก ได้ส่งช่างภาพมาขอพระราชทานฉายพระฉายาลักษณ์ที่ประเทศไทย เพื่อเผยแพร่ในโว้ก ฉบับเดือนกรกฎาคม 2505 ขณะที่สื่อฝรั่งเศสยกย่องว่าทรงเป็นควีนที่งดงามจับใจ นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับการยกย่องให้จารึกพระนามาภิไธยบนหอแห่งเกียรติคุณ ณ มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฐานะที่ทรงเป็น 1 ใน 12 สุภาพสตรีที่แต่งกายงดงามที่สุดในโลก ประจำปี 2508 

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

ย้อนความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการ ผ่านบทพระราชนิพนธ์ของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ขณะทรงทำหน้าที่ผู้แทนของคนไทยทั้งชาติ

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“ข้าพเจ้าเคยคิดมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า การไปต่างประเทศย่อมเป็นการสนุกสนานน่าตื่นเต้นยิ่งนัก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว นับตั้งแต่ พ.ศ. 2495 เป็นต้นมา เมื่อข้าพเจ้ามีอายุเพียง 19 ปี ได้ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมาอยู่เมืองไทย พร้อมด้วยลูกสาวคนโต ซึ่งมีอายุไม่ถึงขวบ ครั้งนั้นแล้ว จนมีอายุ 27 ปี ข้าพเจ้าก็ยังมิเคยได้ย่างกรายออกไปจากบ้านเกิดเมืองนอนอีกเลย ทั้งนี้ก็เพราะพระเจ้าอยู่หัวตั้งพระทัยไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่เสด็จออกนอกประเทศ ถ้าไม่ทรงมีเหตุที่สำคัญพอ ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของชาวไทย สมควรที่จะประทับอยู่ในบ้านเมือง เพื่ออยู่ใกล้ชิดกับราษฎรของท่านให้มากที่สุด ถึงแม้เมื่อเสด็จแปรพระราชฐานก็ทรงแปรอยู่ในประเทศเรานี่เอง ทางเหนือบ้าง ทางใต้บ้าง แล้วแต่โอกาสจะอำนวย ไม่ได้เคยทรงคิดที่จะเสด็จไปทรงสกีนอกประเทศตอนหน้าหนาว หรือเสด็จเมืองใกล้เคียงเพื่อทรงเที่ยวเตร่ซื้อของ หรือเปลี่ยนบรรยากาศอย่างคนอื่นในฐานะเดียวกันนี้เลย ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดที่จะไปไหนถ้าท่านไม่เสด็จ ใน พ.ศ. 2502 ข้าพเจ้าได้ตามเสด็จต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยไปสาธารณรัฐเวียดนามทางราชการ (STATE VISIT) เป็นเวลาเพียง 3-4 วัน ต่อไปก็ได้ตามเสด็จพระเจ้าอยู่หัวไปอินโดนีเซียและพม่าอีก 2 ประเทศ ระหว่างนั้นเองก็ได้ข่าวว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการติดต่อกับรัฐบาลอเมริกาและรัฐบาลของประเทศต่างๆในยุโรปหลายประเทศ เพื่อเตรียมการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมประเทศต่างๆเหล่านั้นทางราชการ รวมทั้งสิ้น 15 ประเทศ” 

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

การตามเสด็จครั้งนี้ฉายให้โลกได้เห็นถึงพระสิริโฉมและพระสไตล์อันโดดเด่น ที่ผสมผสานอัตลักษณ์ของความเป็นไทยเข้ากับความร่วมสมัยในแบบสากลได้อย่างกลมกลืน

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“การตามเสด็จอเมริกาและยุโรปเมื่อหน้าร้อน พ.ศ. 2503 นับว่าเป็นการตามเสด็จทางราชการครั้งใหญ่ที่สุดครั้งแรกของข้าพเจ้า รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างน่าตื่นเต้นไปหมด การตระเตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนับว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้หญิงเรา โดยเฉพาะสำหรับตัวข้าพเจ้าเอง เพราะการที่เสด็จไปตั้ง 15 ประเทศ ก็ต้องเสียเวลาหลายเดือน คือตั้งแต่หน้าร้อน ฤดูใบไม้ร่วง จนถึงหน้าหนาวหิมะตก เสื้อผ้าจึงต้องเตรียมไปสำหรับทุกหน้าและทุกโอกาส ในขั้นต้นข้าพเจ้าได้เชิญผู้ใหญ่หลายคนที่เคยไปอยู่ต่างประเทศ ในฐานะเป็นภริยาราชทูตมาสอบถามและปรึกษาเรื่องการแต่งกาย จากการสนทนาครั้งนั้น ข้าพเจ้าก็ได้ทราบว่าผู้ที่ได้รับเชิญไปในงานอุทยานสโมสรของราชสำนักเซนต์เจมส์เขาแต่งกายกันอย่างไร เวลาภริยาราชทูตเข้าพบประมุขของประเทศในงานใหญ่หรูหราแต่ละครั้งแต่งกายกันอย่างไร แต่แล้วผู้ใหญ่ให้การแนะนำของข้าพเจ้าต่างก็ลงความเห็นพ้องต้องกันว่า พวกเขาไปงานหรูหราเหล่านั้นในฐานะเป็นเพียงภริยาของทูตทั้งหลาย แต่อย่างไรใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จไปในฐานะตำแหน่งพระบรมราชินีนาถของไทย เป็นเฟิร์สต์เลดี้ของไทย และยังทรงเป็นผู้แทนของหญิงไทยทั้งชาติด้วย เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องใหญ่คนละเรื่องกับเรื่องของเกล้ากระหม่อมฉันทั้งหลาย...ตกลงก็เป็นอันว่าข้าพเจ้าจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองว่า ควรจะแต่งกายอย่างไรจึงจะสมควร และเหมาะแก่โอกาสในการตามเสด็จอเมริกาและยุโรปครั้งนั้น” 

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

 

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“แต่ไหนแต่ไรมา คนไทยเรามักชอบแต่งกายกันตามสบายให้เหมาะแก่ความสะดวก ความประหยัด และอากาศของเมืองเราเท่านั้น ฉะนั้นเครื่องแบบประจำชาติเราจึงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีประจำอยู่เป็นแบบฉบับอย่างของเพื่อนบ้านใกล้เคียง จนเป็นที่รู้จักแพร่หลายกันทั่วโลก เช่น ส่าหรีของชาวอินเดีย เครื่องแต่งกายของชาวจีน และกิโมโนของชาวญี่ปุ่น บรรดาพวกผู้หลักผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดต่างก็แนะนำให้ข้าพเจ้านุ่งผ้าซิ่นอย่างไทยๆ นี่แหละไปทุกหนทุกแห่ง ข้าพเจ้าก็ยังไม่กล้าตกลงใจที่จะกระทำตาม เพราะมีปัญหาขัดข้องเรื่องเสื้อผ้าที่สวมกับผ้าซิ่น ด้วยเรายังไม่มีเสื้อผ้าที่จะใช้เป็นแบบฉบับ เมื่อสมัยสมเด็จพระพันปีหลวง ท่านทรงผ้าโจงกระเบนอย่างไทยๆเรา ครั้งกระโน้นฉลองพระองค์เป็นคอปิด แขนหมูแฮม แบบพระราชินีอเล็กซานดรา อันเป็นที่นิยมกันมากของยุโรปในสมัยนั้น ซึ่งข้าพเจ้าจะนำไปใช้ในครั้งนี้หาได้ไม่ เมื่อตอนตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไปสิงคโปร์ สมเด็จพระพันปีหลวงก็ทรงชุดฝรั่งอย่างเต็มที่”

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“ต่อมาข้าพเจ้าได้ให้ช่วยกันค้นหาพระรูปพระมเหสีของรัชกาลก่อนๆที่มีอยู่ในวังหลวง และของเจ้านายองค์อื่นๆมาดู สมเด็จพระพันวัสสาทรงพระภูษาเยียรบับจีบสายรัดพระองค์ทอง หัวก็เป็นทองฝังเพชร ทรงฉลองพระองค์กรยาว มองผาดๆเห็นคอฉลองพระองค์ตั้งสูง คล้ายเสื้อราชปะแตนของผู้ชายสมัยนั้น ทรงสะพักเป็นสไบปักทับฉลองพระองค์ ครั้นดูให้เก่าไปกว่าสมัยรัชกาลที่ 5 ตอนต้น และกลางแผ่นดิน ไปจนถึงสมัยพระเทพฯในรัชกาลที่ 4 ก็เห็นว่าท่านทรงพระภูษาจีบผ้าเขียนทอง หรือก็ทรงผ้าเยียรบับ อย่างผ้าทรงของสมเด็จพระพันวัสสา ทรงสายรัดพระองค์ทองหัวฝังเพชรเช่นเดียวกัน ทรงสะพักปักทับแพรจีบ ไม่ได้ทรงฉลองพระองค์ ครั้งดูให้ใหม่กว่าสมัยรัชกาลที่ 4 และที่ 5 มาถึงรัชกาลที่ 6 แบบพระวรกัญญาฯ ก็คือทรงผ้าซิ่นป้ายส่วนฉลองพระองค์ตามแบบฝรั่งสมัยหลังสงครามโลกครั้งแรก ซึ่งถ้าจะนำมาใช้ในสมัยนี้ก็ดูไม่เหมาะ ดีไม่ดีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศก็จะวิจารณ์กันยุ่งใหญ่ว่าเสื้อประจำชาติไทยที่พระราชินีทรงนี่แบบไหนกันแน่หนอ ฝรั่งก็ไม่ใช่ไทยก็ไม่เชิง”

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

ด้วยพระวิสัยทัศน์กว้างไกลในการใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตอันทรงพลัง เพื่อถ่ายทอดอัตลักษณ์ของความเป็นไทยให้เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาชาวโลก “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” จึงมีพระราชดำริให้ออกแบบเครื่องแต่งกายประจำชาติ เพื่อสร้างเอกลักษณ์ของชาติไทยขึ้นใหม่ โดยทรงประยุกต์มาจากแฟชั่นการแต่งกายของสตรีในราชสำนักสยามครั้งโบราณกาล

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“ในที่สุดข้าพเจ้าก็ตกลงใจว่า จะใช้เครื่องแต่งกายทั้งแบบไทยและสากลซึ่งทั่วโลกนิยมในการตามเสด็จครั้งใหญ่นี้เห็นจะเข้าทีที่สุด ดูจะเหมาะแก่โอกาสมากกว่าการแต่งไทยอยู่อย่างเดียว นอกจากนี้ใครๆก็เห็นว่าไทยเราแต่งกายแบบประสมประเสกันมานานจนชินนัยน์ตาแล้ว ครั้งนี้ก็น่าจะอนุโลมใช้ทั้งสองอย่างได้ ไม่น่าจะทำเป็นไทยแท้อยู่อย่างเดียว ดูแต่เจ้านายญี่ปุ่น ทั้งๆที่มีกิโมโน ซึ่งทั่วโลกรู้จักว่าเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติ ก็ยังทรงใช้ชุดสากลในบางโอกาส เพื่อความสะดวกและความสบายมานานแล้ว 

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

...สำหรับเครื่องแต่งกายชุดไทย ซึ่งข้าพเจ้ากะไว้ว่าจะใช้เป็นแบบฉบับในการตามเสด็จครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ขอให้ “หม่อมหลวง มณีรัตน์ บุนนาค” ไปพบกับอาจารย์ผู้ใหญ่ที่มีความรู้ทางประวัติศาสตร์ไทย ให้ช่วยกันค้นคว้าเครื่องแต่งกายแบบไทยต่างๆมาดูกัน แล้วให้ “อุไร ลืออำรุง” ช่างตัดเสื้อที่ตัดให้ข้าพเจ้ามานานปี ช่วยเลือกแบบต่างๆที่ได้มาครั้งนั้นมาประสมประเสกันจนเกิดมีแบบเสื้อชุดไทยขึ้นหลายชุด แต่ละชุดเหมาะแก่โอกาสและสถานที่ โดยเฉพาะผ้าซิ่นเสื้อแขนกระบอกทำด้วยผ้าไหมของเราเอง เป็นที่นิยมชมชอบของชาวต่างประเทศ เพราะเป็นแบบที่เรียบๆไม่ล้าสมัยง่ายๆ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงไทยก็ใช้แบบเหล่านี้มากขึ้นทุกที จนกระทั่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายไปในหลายประเทศ ในที่สุดก็กลายเป็นเครื่องแต่งกายประจำชาติไปแล้ว 

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

...สำหรับเครื่องแต่งกายชุดสากล รัฐบาลมีความห่วงใยและเต็มใจให้ความสะดวกทุกอย่าง รัฐบาลเสนอมาเป็นการภายในว่าจะต้องให้เรียกช่างจากดิออร์มาช่วยคิดแบบและตัดเสื้อให้หรือไม่ พระเจ้าอยู่หัวรับสั่งตอบขอบใจในความเอื้อเฟื้อของรัฐบาล ทรงขอร้องไม่ให้เป็นห่วงในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จะทรงจัดการเอง ไม่นานต่อจากนั้นก็มีข่าวว่า ช่างออกแบบเสื้อมีชื่อเสียงของฝรั่งเศสอีกรายหนึ่ง ซึ่งไม่มีร้านใหญ่โตมีชื่อเสียงเท่าดิออร์ กำลังเดินทางทั่วโลกและกำลังแวะมาเที่ยวกรุงเทพฯอยู่ มีผู้แนะให้ข้าพเจ้าเชิญมาพูดจาดูเผื่อเขาจะได้ช่วยเหลือแนะนำเรื่องการแต่งกายที่จะใช้ในการตามเสด็จ เพราะชุดขนสัตว์ เฟอร์ โอเวอร์โค้ต ถุงมือ และหมวก เป็นสิ่งที่สุดความสามารถของช่างตัดเสื้อไทยในขณะนั้น จึงเป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ “นายปิแอร์ บัลแมง” มาเป็นช่างตัดและออกแบบเสื้อผ้าสากลที่ใช้เวลาตามเสด็จไปต่างประเทศทางราชการครั้งนั้นและต่อๆไป”

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

หนึ่งในความทรงจำในการตามเสด็จต่างประเทศทางราชการของ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ที่มิเคยลืมเลือนคือ การรับมือกับสื่อต่างประเทศที่ให้ความสนใจอย่างเกรียวกราว

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

“...นักหนังสือพิมพ์ถามว่า “เสื้อผ้าของพระราชินีส่วนมากตัดที่ไหน” เพราะเขาอ่านตามหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวว่า ข้าพเจ้าใช้เงินปีละ 10 ล้านบาท สำหรับแต่งตัวอย่างเดียว ไม่ใช่ของรูปพรรณอื่นๆ ข้าพเจ้าก็ตอบว่า “นั่นสิ ฉันเองอ่านพบแล้วยังสะดุ้งเลย เพราะไม่นึกเลย ไม่รู้เลยว่า ตัวนี้ร่ำรวยถึงขนานนั้น” ก็เลยตอบเขาว่า “เสื้อผ้าส่วนมากนั้นตัดในเมืองไทย ที่ตัดเมืองนอกก็เฉพาะเวลาตามเสด็จไปต่างประเทศ ในฐานะเป็นผู้แทนของคนไทยเท่านั้น จึงจะใช้ช่างต่างประเทศ” เขาหัวเราะบอกว่า “ไม่เป็นไร จะช่วยแก้ข่าวให้ ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน เพราะว่าถ้าดูตามตัวเลขปีละ 10 ล้านแล้ว รู้สึกว่าถ้าจะใช้ให้หมดในปีเดียว 10 ล้าน ไม่ให้เหลือเลยสักแดงเดียวละก็ จะต้องซื้อเสื้อ FUR แพงที่สุด เปลี่ยนทุกเดือน แม้แต่เสื้อใส่นอนก็ต้องปักให้เต็มพรึบไปหมด ไม่อย่างนั้นใช้ไม่หมดแน่ 10 ล้านเฉพาะค่าแต่งตัว” เขาถามว่า “เมืองไทยนี้ต้องใช้ FUR หรือเปล่า” ก็บอกว่า “เมืองไทยขืนใช้ FUR ก็เหงื่อตกตายนะสิ” เขาบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นจะใช้เข้าไปหมดอย่างไรปีละ 10 ล้านบาท” แล้วก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน”

 

“QUEEN OF STYLE” พระสิริโฉมแห่งสยาม ทรงใช้แฟชั่นและความงามเป็นเครื่องมือการทูตทรงพลัง

 

การที่ “สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง” มีพระราชเสาวนีย์ให้ “มร.ปิแอร์ บัลแมง” นำผ้าไหมไทยไปออกแบบตัดเย็บฉลองพระองค์ โดยโปรดเกล้าฯให้ใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการจัดเตรียมฉลองพระองค์ทั้งหมด นอกจากจะสมพระเกียรติในโอกาสทรงเยือนนานาประเทศแล้ว ยังเป็นกุศโลบายที่ทำให้ทั่วโลกได้รู้จักความงดงามของผ้าไทย ในฐานะงานศิลป์ทรงคุณค่า และมรดกของชาติไทยที่น่าภาคภูมิใจ.

..........................................

 

ข้อมูลโดย ไทยรัฐออนไลน์ 9 พ.ย. 2568 03:49 น.